top of page
อุทยานเขามอ

        เขามอหรือภูเขาจำลองขนาดเล็กก่อด้วยศิลา ตั้งอยู่กลางสระน้ำบริเวณหน้าวัด เป็นที่ประดิษฐานเป็น พระสถูปเจดีย์ สร้างจากทองเหลือง พระวิหารจำลอง ศาลาราย แวดล้อมไปด้วยพันธุ์ไม้นานาพันธุ์ เป็นรมณียสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ

        คำว่า "มอ" มาจากคำว่า "ถมอ" ในภาษาเขมร แปลว่า ก้อนหิน  เขามออาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ เขามอขนาดเล็กที่ประดับอยู่ในกระถางเป็นศิลปะการจัดสวนและเขามอขนาดใหญ่ สำหรับก่อบนพื้นดินหรือกลางสระน้ำ จัดให้มียอดเขาสูงลดหลั่นตามลำดับ ใช้ประดับตกแต่งพระอารามและพระราชอุทยาน           

         สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) ได้สร้างภูเขาจำลองนี้โดยได้แนวคิดเค้าโครงภูเขาจำลองมาจากหยดเทียนขี้ผึ้ง ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานให้ท่าน หยดเทียนขี้ผึ้งนี้เกิดจากน้ำตาเทียนที่พระองค์ทรงจุดน้ำตาเทียนทับถมกันเป็นเวลาหลายปีจนก่อรูปคล้ายภูเขา

          ในอดีต ประมาณกลางเดือนมีนาคมของทุกปี วัดประยุรวงศาวาสจะจัด"งานวัดประยูร" หรือ "งานญาติสมาคม" 

สันนิษฐานว่าจัดขึ้นครั้งแรกโดยเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) และเหล่าราชินิกุลสกุลบุนนาค เมื่อปี พ.ศ.2454     "งานวัดประยูร ฯ "เป็นงานวัดที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงของฝั่งธนบุรีเช่นเดียวกับ "งานนักขัตฤกษ์ฤดูหนาววัดเบญจมบพิตร" ของฝั่งพระนคร วัดประยุรวงศาวาสจะจัดให้มีงานนมัสการปิดทองพระพุทธฉายบริเวณเขามอตลอดระยะเวลา 7 วัน 7 คืน มีการออกร้านของเจ้าจอมมารดา  เจ้าจอมและลูกหลานในราชินิกุลสกุลบุนนาค  และมีนายห้างชาวต่างชาติ จัดแสดงสิ่งของอันน่าตื่นตาตื่นใจ ทำให้ได้รับความสนใจจากชาวพระนครเป็นอันมาก แต่หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.2475 งานนี้ได้ล้มเลิกไป  

             ภายในบริเวณอุทยานเขามอมีจุดที่ควรชม ดังต่อไปนี้

           

ศาลาสุวพักตร์วิไลยพรรณ (ศาลาฝรั่ง)
IMG_1527.JPG

     ศาลาสุวพักตร์วิไลยพรรณตั้งอยู่บริเวณทางเข้าทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเขามอ สร้างขึ้นโดยเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร) บุตรคนสุดท้องของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) ต่อมาในปี พ.ศ.2470 พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าสุวพักตร์วิไลยพรรณ พระธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ (แพ) ได้บูรณปฏิสังขรณ์ศาลาหลังใหญ่ที่เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ได้สร้างไว้ โปรดให้ประดิษฐานตราสัญลักษณ์และอักษรพระนาม ศ.ว. บริเวณหน้าบันศาลา

               รูปแบบสถาปัตยกรรมของศาลาหลังนี้เป็นแบบตะวันตก เป็นศาลาโถงใหญ่รูปสี่เหลี่ยม เปิดโล่ง ก่ออิฐถือปูน หลังคาเป็นทรงแบน ด้านบนเป็นพื้นเรียบ มีเสาและคานเป็นหิน ประดับลวดลายศิลปะแบบเรอเนซองส์ ฝ้าเพดานฉาบเรียบสีขาว เสาเซาะร่อง

 

              

อนุสาวรีย์ปืนสามกระบอก
IMG_1533.JPG

      สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ปืนใหญ่ที่เอามาทำเป็นไฟพะเนียงแตกในคราวงานฉลองสมโภชพระอารามเมื่อปี พ.ศ.2379 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 7 คนและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก

            ขณะนั้นหมอบรัดเลย์ซึ่งอาศัยบ้านเช่าบริเวณใกล้ท่าน้ำวัดประยุรวงศาวาส ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 250 เมตร สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ได้ให้คนไปตามหาหมอบรัดเลย์ไปรักษาผู้บาดเจ็บ มีพระรูปหนึ่งกระดูกแขนแตก หมอบรัดเลย์จำต้องตัดแขนพระรูปนั้น การผ่าตัดประสบผลสำเร็จ บาดแผลหายสนิทในเวลาไม่นานนัก การรักษาด้วยวิธีผ่าตัดในครั้งนั้น นับเป็นการรักษาด้วยการผ่าตัดอวัยวะครั้งแรกในสยาม

           ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของอนุสาวรีย์ปืนสามกระบอก แท่นฐานทำเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีปืนใหญ่สามกระบอกปักลงไปในแท่น หัวท้ายของแท่นประดับปูนปั้นเป็นรูปหัวสิงโตยื่นออกมา หน้าแท่นมีแผ่นจารึกข้อความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น

พระมณฑปทรงโกธิค 
IMG_1512_edited.jpg
IMG_1514.JPG

       ตั้งอยู่บริเวณทางทิศใต้ของเขามอ พระมณฑปทรงโกธิค เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อแขก สันนิษฐานว่าอาจออกแบบโดยนายโจอาคิโน หรือโจอาคิม แกรซี ซึ่งเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างและเป็นสถาปนิกชาวตะวันตก

          ลักษณะทางสถาปัตยกรรม เป็นอาคารแบบตะวันตกทรงสูงคล้ายกับโบสถ์ในคริสต์ศาสนา ตัวอาคารมีความโดดเด่นในเรื่องของเสาโกธิคไม่ทึบตัน มีหลังคาเป็นโดมกระเบื้องสีแดง ด้านหน้ามีบันไดทางเข้าสักการะพระพุทธรูป เมื่อ ปี พ.ศ.2470 เจ้าจอมเลียมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ชักชวนญาติพี่น้องในตระกูลบุนนาค สร้างพระพุทธรูปปางป่าเลไลย์หุ้มรูปหล่อสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ ผู้เป็นคุณทวดของท่าน แล้วประดิษฐานในมณฑปทรงโกธิค เนื่องจากพระพุทธรูปองค์นี้มีพุทธลักษณะคล้ายคลึงกับพระพุทธรูปคันธาระของอินเดีย ชาวบ้านจึงเรียกพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “หลวงพ่อแขก”

           พระมณฑปทรงโกธิคจำลอง 

           

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

            ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเขามอ เป็นที่ตั้งของพระมณฑปทรงโกธิคอีกหลังหนึ่ง อาจสร้างขึ้นพร้อมกับพระมณฑปทรงโกธิคที่ประดิษฐานหลวงพ่อแขกหรืออาจสร้างขึ้นโดยคณะกรรมการผู้จัดการแบ่งทรัพย์มรดกของท่านผู้หญิงพรรณ ภริยาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ในคราวเดียวกับการสร้างพรรณาคาร เมื่อ พ.ศ.2439 ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิคเช่นเดียวกัน 

           รูปแบบสถาปัตยกรรมของพระมณฑปทรงโกธิคจำลอง เป็นอาคารแบบตะวันตก ทรงสูงมียอด 8 ยอด ตั้งอยู่บนภูเขาจำลอง ฐานชั้นที่สอง เจาะเป็นซุ้มสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป  

 

               

พระสถูปเจดีย์จำลอง 
263773396_480735173392204_1389170429398834766_n.png
IMG_9597_edited.jpg
          สันนิษฐานว่าสร้างเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ อัฐิบุคคลสำคัญหรือพระพุทธรูป จัดเป็นถาวรวัตถุที่สำคัญที่สุดในบริเวณนี้
      รูปแบบทางศิลปกรรมของพระสถูปเจดีย์จำลอง เป็นเจดีย์ทรงกลมเช่นเดียวกับพระบรมธาตุมหาเจดีย์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงให้อรรถาธิบายไว้ในหนังสือตำนานพุทธเจดีย์ว่า " วัดประยุรวงศาวาส เป็นพระอารามแรก ๆ ในกรุงรัตนโกสินทร์ที่นิยมทรงเจดีย์ทรงกลม..." ตามที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) ได้รับคำแนะนำจากพระวชิรญาณมหาเถระ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะทรงผนวช)             องค์เจดีย์สร้างด้วยทองเหลือง ฐานชั้นล่างสุดเป็นฐานเขียงใหญ่ ย่อมุมไม้สิบสอง มีเสาหัวเม็ดอยู่ทุกมุมทั้ง 4 ด้าน ฐานชั้นถัดมาเป็นฐานรองรับองค์เจดีย์ มาลัยเถา เหนือมาลัยเถาขึ้นไปเป็นบัวปากระฆัง องค์ระฆัง บัลลังก์ ปล้องไฉน และปลียอดตามลำดับ 

 
พระวิหารหลวงจำลอง 
IMG_9612.JPG
      ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ของพระสถูปเจดีย์จำลอง สร้างขึ้นพร้อมกับการสร้างวัดประยุรวงศาวาส ปรากฏหลักฐานว่าได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้้งใหญ่โดยเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร) บุตรคนสุดท้ิองของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ เมื่อพุทธศักราช 2328 
          ต่อมาในปี พ.ศ.2470 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรประพันธ์รำไพและพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอดิสัยสุริยาภา พระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าประสูติแต่เจ้าจอมมารดาอ่อน ธิดาเจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์ (เทศ บุนนาค) ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงจำลอง สิ้นทรัพย์ 750 บาท ทรงอุทิศพระกุศลให้เจ้าจอมเอื้อน ผู้เป็นพระมาตุฉา (น้าสาว) ซึ่งถึงแก่อสัญกรรมในปีนี้ 
          รูปแบบสถาปัตยกรรม เป็นอาคารไทยประเพณี  ก่ออิฐถือปูน มีเสาพาไลรับปีกนก หลังคาเป็นหลังคาจั่ว ทำเป็นชั้นลด 2 ชั้น ใช้กระเบื้องเคลือบสีเขียวและสีเหลือง ประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันประดับลายดอกพุดตานทองพื้นกระจกสีขาว บานประตูเขียนลายรดน้ำพุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่ง พนักระเบียงประดับลูกแก้วดินเผาเคลือบสี 
ศาลาจำลอง (ทิศเหนือ)
IMG_9632.JPG
IMG_9634.JPG
         ทางทิศเหนือของเขามอใกล้กับพระพุทธปรางค์ เป็นถาวรวัตถุที่สร้างขึ้นพร้อมกับเขามอ ลักษณะทางสถาปัตยกรรมเป็นศาลาราย เช่นเดียวกับศาลาจำลองด้านทิศใต้ ศาลาหลังนี้ เป็นศาลาเปิดโล่ง รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ก่ออิฐถือปูน เสาสี่เหลี่ยมย่อมุม หลังคาจั่วปิด ยกคอสองโดยรอบ หน้าบันทำเป็นลวดลายดอกพุดตานอ่อนช้อยงดงาม เครื่องลำยองมีลายปูนปั้นแบบจีน ใบระกาทำเป็นดอกไม้และใบไม้ หลังคาประดับช่อฟ้าทำเป็นหัวนกเจ่า 
เก๋งจีน
IMG_9613.JPG
IMG_9615_edited.jpg
         ตั้งอยู่บริเวณริมสระน้ำ ที่สร้างขึ้นพร้อมกับเขามอ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นศาลเจ้าที่ ตี่จู่เอี๊ยหรือโถวตี่กง ประจำเขามอ ซึ่งเป็นเทพเจ้าที่จะช่วยคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุขและทำมาค้าขึ้น รูปแบบสถาปัตยกรรมของเก๋งจีน เป็นลักษณะศาลเจ้าที่แบบจีน ภายในประดิษฐานรูปเคารพเทพเจ้า "ตี่จู่เอี๊ย" หรือ "โถวตี่กง"
พระพุทธปรางค์
IMG_9600.JPG
         พระพุทธปรางค์ ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของสถูปเจดีย์จำลอง สันนิษฐานว่า สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) ให้สร้างขึ้นพร้อมกับการสร้างเขามอ เพื่อบรรจุอัฐิธาตุของเชื้อสายคนสำคัญในราชินิกุลบุนนาค 
         รูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นพระปรางค์สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ประกอบไปด้วยฐานสิงห์ ตัวเรือนธาตุมีซุ้มจระนำทั้งสี่ทิศ ส่วนของเรือนยอดประดับด้วยกลีบขนุน นพศูล 
พระพุทธฉาย
IMG_9594.JPG
         ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเขามอ คติการสร้างพระพุทธฉาย เกิดจากตำนานความเชื่อในดินแดนสุวรรณภูมิที่ว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะแสดงปาฏิหาริย์เสด็จไปโปรดสัตว์ตามสถานที่ต่าง ๆ จะมีพุทธทำนายถึงดินแดนที่จะประดิษฐานพระพุทธศาสนาในอนาคตกาลและทรงแสดงปาฏิหาริย์ ให้เงาของพระองค์ปรากฏติดไว้เป็นพระพุทธฉาย 
          รูปแบบงานศิลปกรรมของพระพุทธฉาย เป็นคูหาเจาะเข้าไปในช่องเขา ภายในเขียนสีปิดทองเป็นรูปพระพุทธเจ้าในพระอิริยาบถออกบิณฑบาตขนาบข้างด้วยสาวก 

 
ข้อแนะนำเพิ่มเติม : นักท่องเที่ยวควรเดินชมภายในอุทยานเขามอด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากภายในบริเวณอุทยานเขามอ มีเต่าอาศัยอยู่จำนวนค่อนข้างมากและมักออกมาเดินบริเวณทางเดิน 
bottom of page